ขับรถบ่อย ๆ ป้องกันโรคสมองเสื่อมใน ผู้สูงอายุ ได้จริงเหรอ?

ในยุคปัจจุบันเรามักจะได้ยินกันมากขึ้นเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนนจาก ผู้สูงอายุ จนทำให้หลาย ๆ ฝ่ายเริ่มตระหนักกันมากขึ้นเกี่ยวกับการขับรถของผู้สูงอายุ เนื่องจากผู้สูงอายุมีข้อจำกัดในการขับรถมากมาย อาทิ การหลงลืมเส้นทางในการเดินทาง, การหลงลืมมารยาทในการขับขี่รถบนท้องถนน และอาการป่วยอื่น ๆ ที่มีผลต่อการขับรถ

จากข้อมูลของสหรัฐฯ หน่วยงานความปลอดภัยการขับขี่ยวดยาน (NHTSA, National Highway Traffic Safety Administration) พบว่า คนอายุ 85 ปีขึ้นไปที่ขับรถ เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนถนนจนถึงแก่ชีวิต 13% โดยชนคนเดินถนนตายถึง 17% สถิติตัวเลขนี้สูงเป็น 17 เท่า เมื่อเทียบกับคนขับอายุ 25-65 ปี 

ทำให้หลายคนเริ่มคิดถึงเรื่องการห้าม ผู้สูงอายุ ขับรถบนท้องถนน แต่คุณผู้อ่านรู้หรือไม่คะว่าแท้จริงแล้วการขับรถบ่อยๆ ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุได้ เรื่องนี้จะจริงหรือไม่ H SEM หาคำตอบมาให้คุณแล้วค่ะ!

สรุปแล้ว การขับรถบ่อย ๆ ป้องกันโรคสมองเสื่อมใน ผู้สูงอายุ ได้จริงเหรอ?

โดยส่วนใหญ่ ถ้าอายุเกิน 70 ปี โอกาสการเกิดอุบัติเหตุก็จะเพิ่มมากขึ้นและและจะพุ่งสูงเป็นพิเศษเมื่ออายุเกิน 80 ปี เมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดอุบัติเหตุขึ้น ผู้สูงอายุจะได้รับอันตรายมากกว่าและโอกาสถึงแก่ชีวิตสูงกว่าคนหนุ่มสาวถึง 9 เท่า อย่างที่เราได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ค่ะว่า การขับขี่รถบ่อย ๆ นั้นช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมได้ แต่ก่อนที่เราจะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้กัน HSEM MOTOR ขอพูดถึงความเสี่ยงในการขับรถของ ผู้สูงอายุ กันก่อนค่ะ

จริงอยู่ที่ข้อมูลหน่วยงานความปลอดภัยการขับขี่ยวดยานของสหรัฐอเมริกานั้นได้กล่าวว่าการขับรถของผู้สูงอายุนั้นเป็นสาเหตุทีทำให้เกิดอุบัติเหตุการชนถึงแก่ชีวิต 13% ชนคนเดินถนนตายถึง 17%  แต่คุณผู้อ่านรู้หรือไม่คะว่าสาเหตุหลักการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนนั้นไม่ได้มาจากผู้สูงอายุนะ แต่มาจากกลุ่มวัยรุ่น วัยทำงาน 

เพราะจากสถิติอุบัติเหตุบนท้องถนน ตั้งแต่ปี 2013-2016 ของ องค์การอนามัยโลก,(World Health Organization–WHO) พบว่า อุบัติเหตุบนท้องถนนกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็ก ๆ และคนหนุ่มสาวทั่วโลกเสียชีวิตมากที่สุด ส่วนไทยครองแชมป์อัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

จากข้อความข้างต้น จะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยค่ะว่ากลุ่มคนที่เสียชีวิตบนท้องถนนคือกลุ่มคนหนุ่มสาว และเด็ก นั่นแปลว่า “ผู้สูงอายุ คือ คนกลุ่มน้อยบนท้องถนน” นั่นจึงทำให้กลุ่มผู้สูงอายุไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนแต่อย่างใด อย่างไรก็ดีถ้าผู้สูงอายุคนไหนขับรถด้วยความเร็วที่มากเกินไป โอกาสการเกิดอุบัติเหตุก็เพิ่มมากขึ้นกว่าคนหนุ่มสาว 

เมื่อฟังข้อเสียแล้ว เราก็มาฟังข้อดีของการให้ผู้สูงอายุขับขี่รถกันบ้างค่ะ เพื่อที่คุณจะได้ประกอบการตัดสินใจเรื่องการขับขี่บนท้องถนนของผู้สูงอายุที่บ้าน

จากงานวิจัยเกี่ยวกับสุขภาพของคนสูงอายุที่เชื่องโยงกับการขับรถรวม 16 งานวิจัย และตีพิมพ์ผลงานไว้ในวารสารสมาคมชราวิทยาอเมริกา (AGS) เมื่อเดือนมกราคม ปี 2562 ที่ผ่านมา พบว่า การหยุดขับรถทำให้ผู้สูงอายุซึมเศร้าเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัว และทำให้สุขภาพกายถดถอยยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับสุขภาพของคนที่มีเพศและวัยเดียวกันที่ยังไม่ยอมเลิกขับรถ

สอดคล้องกับนายแพทย์สันต์ ใจยอดศิลป์ คอลัมนิสต์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจหลอดเลือดและทรวงอก อดีตผู้บริหารโรงพยาบาลพญาไท 2 ที่ออกมาให้ความเห็นเรื่องการขับรถของผู้สูงอายุว่าเป็นเรื่องที่ดี การเลิกขับรถและหมกตัวอยู่แต่ในบ้านมีแต่ทำให้การทำงานของสมองช้าลง และเสื่อมลงมากขึ้น เผลอ ๆ ได้โรคซึมเศร้าแถมมาอีกด้วย ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากการเลิกขับรถเป็นการแยกตัวออกจากสังคมนอกบ้าน นั่นเอง

“รถไฟฟ้า” นวัตกรรมยานยนต์สำหรับ ผู้สูงอายุ

ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ “รถไฟฟ้า” ถือเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมยานยนต์ที่น่าสนใจ ตอบโจทย์กับผู้สูงอายุแบบสุด ๆ ด้วยการออกแบบที่คล้ายคลึงกับจักรยาน และมอเตอร์ไซค์ แตกต่างก็ตรงที่รถไฟฟ้าจะมีล้อรถ 3 ล้อ ทำให้ตัวรถมีความมั่นคง ผู้ขับไม่จำเป็นต้องรักษาสมดุลในการขับขี่มากนัก เพียงบิดแฮนด์รถเพื่อเร่งความเร็ว และเบรกเมื่อต้องการหยุดรถเท่านั้น งานนี้เราจึงไม่รอช้า ขอแนะนำวิธีเลือกซื้อรถสามล้อไฟฟ้า ที่ตอบโจทย์ผู้สูงอายุกัน จะต้องใช้หลักเกณฑ์อะไรบ้าง มาดูกันดีกว่า!

1. ความเหมาะสมในการใช้งาน

สำหรับข้อนี้เรียกได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญในการเลือกรถไฟฟ้าเลยก็ว่าได้ เพราะรถไฟฟ้านั้นมีมากมายหลากหลายประเภทที่บริษัทได้ผลิตออกมา ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าสำหรับผู้สูงอายุ. รถไฟฟ้าสำหรับแม่บ้าน และรถไฟฟ้าสำหรับบรรทุกสิ่งของ เป็นต้น

ดังนั้นก่อนที่คุณจะเลือกซื้อรถไฟฟ้าเพื่อใช้งานก็ควรตรวจสอบเสียก่อนว่าตนเองต้องการใช้งานด้านใดบ้าง เพื่อที่คุณจะได้รถ EV หรือรถไฟฟ้าที่เหมาะสม ตรงกับใจคุณ โดยคุณสามารถสอบถามข้อมูลสินค้ากับตัวแทนจำหน่าย หรือศูนย์จัดจำหน่ายรถไฟฟ้านั้น ๆ ก่อนได้ เพื่อประกอบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจ

2. ความน่าเชื่อถือของแบรนด์

ในการซื้อสินค้าและผลิตภัณฑ์อะไรก็ตามแต่ หลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ สำหรับการเลือกซื้อสินค้าจากชื่อเสียงของแบรนด์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ชื่อเสียงยิ่งดังมากเท่าไหร่ ได้ยินบ่อยแค่ไหน ยิ่งเป็นเครื่องการันตีได้ว่าคุณจะหาศูนย์บริการลูกค้าได้ง่าย

แต่เรื่องชื่อเสียงของสินค้าเองก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของความน่าเชื่อถือเท่านั้น ยังมีเรื่องของอะไหล่สินค้าอีกด้วย จะดีกว่าไหมหากคุณเลือกซื้อผลิตภัณฑ์กับบริษัทที่มีโรงงานผลิตในไทย ในยามที่อะไหล่รถไฟฟ้าของคุณเกิดเสียหรือชำรุดจะได้สามารถซ่อมได้เลย ไม่ต้องรออะไหล่จากต่างประเทศ แถมราคายังประหยัด สบายกระเป๋าอีกด้วย

3. บริการหลังการขาย

สำหรับข้อนี้ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่คุณไม่ควรมองข้าม หากคุณคือผู้ที่ไม่มีความรู้ในการดูแลรถไฟฟ้ามาก่อน เพราะบริการหลังการขายที่ดีจะตอบโจทย์และช่วยให้คุณสบายใจได้มากยิ่งขึ้นยามที่รถไฟฟ้าของคุณมีปัญหาหรือรถเสีย ยิ่งถ้าบริษัทนั้นมีบริการหลังการขายที่คอยตรวจเช็คสภาพรถทุก 1 เดือน 5 เดือน และ 12 เดือน หรือให้บริการซ่อมรถถึงบ้านด้วยยิ่งดีใหญ่ เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลาหาช่างซ่อมรถ และนำรถเข้าศูนย์

4. การรับประกันสินค้า

จริงอยู่ที่การซื้อสินค้าจากแบรนด์ชั้นนำ หรือแบรนด์ที่มีชื่อเสียงนั้นทำให้คุณอุ่นใจในการซื้อสินค้ามากขึ้น แต่แค่นี้มันยังไม่พอหรอกนะ คุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่าสินค้าที่ซื้อไปนั้นมีคุณภาพ จะดีกว่าไหมหากสินค้าที่คุณซื้อไปได้รับ Warranty หรือการรับประกันสินค้าจากทางแบรนด์

โดยส่วนใหญ่สินค้ามักจะได้รับการประกันสินค้าและแบตเตอรี่ให้ที่ 1 ปีเท่านั้น ส่วนมอเตอร์จะได้รับประกันมอเตอร์สูงสุดอยู่ที่ 5 ปี ดังนั้นเวลาที่คุณจะซื้อรถไฟฟ้าอย่าลืมดูเรื่องการรับประกันสินค้าด้วย เวลาที่เกิดปัญหาผิดพลาดจากอะไหล่ที่ใช้ คุณจะได้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม