WHO ประกาศแล้ว ไวรัสโคโรน่า คือ ภาวะฉุกเฉินของโลก!

เปิดประเด็นด่วนมาอย่างเผ็ดร้อน กับ ไวรัสโคโรน่า โดยนายเทดรอส อาดานอม เกเบรเยซัส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้แถลงที่เจนีวา เมื่อคืนวันที่ 30 มกราคม 2563 ที่ผ่านมาว่า สาเหตุหลักที่ต้องประกาศภาวะฉุกเฉินครั้งนี้ “ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศจีน แต่เป็นเพราะสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศอื่น ๆ”  เนื่องจากกังวลว่า การระบาดดังกล่าวจะแพร่ไปสู่ประเทศที่มีระบบสาธารณสุขไม่เข้มแข็ง

โดยองค์การอนามัยโลกได้ออกมาระบุยอดตัวเลขที่เกิดขึ้นจากวิกฤติไวรัสโคโรน่า กล่าวคือ

ตัวเลขผู้เสียชีวิตในจีนขณะนี้อยู่ที่ 170 คน และพบผู้ติดเชื้อแล้ว 98 ราย ในอีก 18 ประเทศ ซึ่งผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เดินทางมาจากนครอู่ฮั่น ต้นกำเนิดโรคระบาดนี้

ซึ่งการประกาศภาวะฉุกเฉินนี้ นอกจากจะช่วยให้ทุกประเทศเฝ้าระวังเกี่ยวกับไวรัสโคโรน่ากันมากขึ้นแล้ว ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ WHO เข้าไปให้การสนับสนุนเหล่าประเทศรายได้น้อย และรายได้ปานกลาง เสริมสร้างระบบการเฝ้าระวัง และเตรียมรับมือกับการเกิดโรคในประเทศอื่น ๆ ได้

“ไทย” หนึ่งในประเทศที่สุ่มเสี่ยงได้รับเชื้อ ไวรัสโคโรน่า สายพันธ์ใหม่!

จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเซาแธมป์ตัน ประเทศอังกฤษ พบว่า ไทยคือประเทศที่เสี่ยงจะได้รับเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ หรือ 2019-nCoV จากจีนแผ่นดินใหญ่มากที่สุดในโลก เนื่องจากเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงการระบาดของโรคในเทศกาลตรุษจีน อย่างไรก็ตามแต่อัตราเสี่ยงที่ไทยจะเผชิญการแพร่ระบาดภายในประเทศอาจไม่สูงที่สุดในโลก เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่ค่อนข้างแข็งแกร่งพอสมควร

โดยงานวิจัยชิ้นนี้มาจากการวิเคราะห์ข้อมูลการเดินทางของชาวจีน ระหว่างปี 2013-2015 ที่ได้จากบริการระบุตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ (Location-Based Services หรือLBS) ของเว็บไซต์ไป่ตู้ และข้อมูลการเดินทางทางอากาศระหว่างประเทศในปี 2018 จากสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ หรือ ไออาตา

เตรียมตัวรับมือกันให้ดี กับ 18 เมืองความเสี่ยงสูง

จากผลการศึกษาที่ได้รับการเผยแพร่เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2563 พบว่า ในจีนแผ่นดินใหญ่มีเมือง 18 แห่ง ที่ถูกจัดให้อยู่ในพื้นที่ความเสี่ยงสูงที่พบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งประกอบไปด้วย เมืองอู่ฮั่น และอีก 17 เมืองที่มีคนจากเมืองอู่ฮั่นเดินทางไปจำนวนมากในช่วงเทศกาลตรุษจีน ได้แก่ ปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้, กว่างโจว, เจิ้งโจว, เทียนจิน, หางโจว, เจียเซียง, ฉางชา, ซีอาน, หนานจิง, เซินเจิ้น, ฉงชิ่ง, หนานชาง, เฉิงตู, เหอเฝย์, ฝูโจว, ตงก่วน

ซึ่งจากผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ไทยคือจุดหมายปลายทางยอดนิยมที่คนจาก 18 เมืองมีความเสี่ยงสูงของการระบาดโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ นั่นจึงทำให้ไทยกลายเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงมากที่สุดที่จะได้รับเชื้อโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่เข้าประเทศ โดยประเมินว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศในช่วง 3 เดือน คือ 15 วันก่อนวันตรุษจีนและ 2 เดือนครึ่งหลังจากนั้นราว 2.031 ล้านคน หรือคิดเป็นอัตราความเสี่ยงที่ 15.3%

อย่างไรก็ตาม ทีมนักวิจัยชี้ว่าตัวเลขเหล่านี้เป็นการประเมินจากรูปแบบการเดินทางตามปกติของนักท่องเที่ยวจีนในช่วงตรุษจีน และตัวเลขนี้อาจเปลี่ยนแปลงไปในกรณีที่มีการจำกัดการเดินทางและการใช้มาตรการควบคุมต่าง ๆ

ส่วนเมืองใหญ่อื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงสูงในการรับเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่จากจีน อาทิ ฮ่องกง, ไทเป, โซล, โตเกียว, สิงคโปร์,โอซากา, กัวลาลัมเปอร์, มาเก๊า, ซิดนีย์, ลอสแอนเจลิส, นิวยอร์ก และลอนดอน เป็นต้น

แม้วิกฤติโคโรน่านี้จะเป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างน่ากังวล แต่ใช่ว่าจะไม่มีความหวังในการรักษาเลย เพราะล่าสุด สถาบันพีเทอร์ โดเฮอร์ตี เพื่อการวิจัยโรคติดเชื้อและภูมิคุ้มกัน (Peter Doherty Institute) ของออสเตรเลีย ได้ออกมาแถลงว่า

ขณะนี้ประสบความสำเร็จในการเพาะเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019-nCoV ที่มีความบริสุทธิ์และไม่ปนเปื้อนกับเชื้อโรคชนิดอื่น ๆ แล้ว ทำให้อนาคตข้างหน้าสามารถนำมันไปใช้ประโยชน์ในงานวิจัยทางการแพทย์ได้หลากหลาย

โดยการเพาะเชื้อไวรัส 2019-nCoV ในครั้งนี้ นับว่าเป็นครั้งแรกที่มีผู้ทำได้สำเร็จนอกประเทศจีน โดยจะนำเชื้อบริสุทธิ์ดังกล่าวไปใช้พัฒนาชุดทดสอบเพื่อตรวจหาผู้ติดเชื้อได้ในขณะที่ยังไม่แสดงอาการ รวมทั้งนำไปใช้คิดค้นและทดสอบวัคซีนป้องกันไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ได้อีกด้วย

และนี่ก็คือสถานการณ์ด่วน ประเด็นร้อนที่ HSEM MOTOR นำมาฝากคุณผู้อ่านในวันนี้ ช่วงนี้หากใครมีอาการเจ็บคอ ไอบ่อย รู้สึกเหมือนไข้ขึ้น เราขอแนะนำให้คุณไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพร่างกายโดยด่วน เพื่อความปลอดภัยของคุณ!

ขอบคุณข้อมูลจาก : www.bbc.com/thai